My passion, All beautiful things and any nice concern share the world beauty by puy ~ is me

Get the look: Coffee Time [Highlight, Shading and COntour]

       

หลังจากหัวข้อที่แล้ว ปุ้ยได้เผยเคล็ดลับของการเพิ่มแสงและแรเงา What – Where – When – Why ไปแล้วนั้น

  ในหัวข้อนี้นี้จะมาสาธิตวิธีการนำไปใช้งาน
เพื่อให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น ปุ้ยจึงใช้รูปแบบ
Get the look โดยตั้งชื่อ
ลุคนี้ว่า Coffee Time ซึ่งจะเผยให้เห็น
การนำเสน่ห์ของแสงและเงามาช่วยแต่งเติม
ใบหน้าของเราให้ดู สวยแบบมีมิติ ได้โดยไม่
ต้องพึ่งสีสันอื่นๆ เลย เพียงแค่ใช้โทนสีครีม
และสีน้ำตาล ก็ออกมาสวยอย่างสมบูรณ์แบบได้แล้วหละค่ะ ซึ่งปุ้ยจะเล่าให้ฟังถึงการเลือกโทนสีของผลิตภัณฑ์ในการทำไฮไลท์ (Highlight) เฉดดิ้ง (Shading) และคอนทัวร์ (Contouring) 
และการเลือกใช้อุปกรณ์ ที่สำคัญคือ สโต๊กทิศทางของการนำอุปกรณ์มาใช้ปฏิบัติให้ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ

มาพูดถึงโทนสีที่เราจะใช้ในลุคนี้กันก่อน เพื่อความเข้าใจในการสื่อสารที่ตรงกัน
สีครีม (Cream) ที่เราใช้ทำไฮไลท์ อาจจะหมายถึง สีขาว (White) สีขาวมุก (Perl White) สีงาช้าง (Ivory) สีครีม (Milky White)

ส่วนการเฉดดิ้งและคอนทัวร์ ใช้ สีน้ำตาล (Brown) ซึ่งมีน้ำหนักของเฉดสีที่หลากหลายมาก โดยปกติแล้ว จะเลือกตามโทนสีผิว อย่างสาวโทนผิวเหลือง จะเป็นน้ำตาลตระกูลกาแฟ  ส่วนสาวโทนผิวสีชมพู อาจจะใช้น้ำตาลทองแดง หรือน้ำตาลอิฐ ก็ได้

ส่วนสีน้ำตาลที่เราจะใช้ใน Get the look ปุ้ยจะใช้น้ำตาลตระกูลกาแฟ ซึ่งก็มีทั้งน้ำตาลอ่อน ปานกลาง เข้ม และน้ำตาลดำ โดยชื่อเรียกจะเปรียบเทียบกับประเภทของการปรุงกาแฟ เพื่อความเข้าใจง่าย ดังนี้

ในสัดส่วนของ กาแฟ : นม = สีน้ำตาล : สีครีม
ครีม (Cream) = นมล้วนๆ
ลาเต้ (Latte) = กาแฟ 1 : นม 2 ได้ออกมาเป็นสีน้ำตาลอ่อน
ม็อคค่า (Mocha) = กาแฟ 1 : นม 2 + ช็อคโกแล็ต ได้ออกมาเป็นสีน้ำตาลปานกลาง
คาปูชิโน (Cappuccino) = กาแฟ 1 : นม 1 (ไม่นับฟองครีม) ได้ออกมาเป็นสีน้ำตาลที่เข้มขึ้น
เอสเปรสโซ (Espresso) = กาแฟล้วนไม่ผสมนม ได้ออกมาเป็นสีน้ำตาลเข้มมากจนเกือบดำ

การเลือกสีที่ใช้เราสามารถเลือกมาได้ ตามความชื่นชอบเลย โดยพิจารณาจากน้ำหนักของเฉดสี และความเข้มข้นของเม็ดสี รวมถึงเทคเจอร์ ของผลิตภัณฑ์ว่าจะเป็นเนื้อแม็ท ชิมเมอร์ หรือบรอนเซอร์ ซึ่งการสาธิตในวันนี้ จะนำเฉดสีที่อ่อน – เข้มแตกต่างกันมาทำให้เกิดแสงและเงาในบริเวณต่างๆ ของใบหน้า เพื่อให้เกิดการแสงและเงาที่สวยงาม

แต่หากใครไม่มีครบทุกเฉด ก็ใช้เทคนิคการลงสีซ้ำก็จะได้สีที่เข้มขึ้น หรือจะใช้เทคนิคการผสมกับน้ำ เพื่อให้ได้สีที่ชัดขึ้นสำหรับบริเวณที่คอนทัวร์เป็นเส้น อย่างคิ้วหรืออายไลเนอร์ก็ได้

ทีนี้ก็มาพูดถึงอุปกรณ์กันบ้างค่ะ

การเลือกแปรง ให้เลือกขนาดที่เหมาะผมสำหรับพื้นที่ที่เราจะใช้ และควรป็นขนสัตว์จะช่วยทำให้พิกเมนท์ของสีติดกับผิวได้ดี นอกจากนั้นแล้ว ลักษณะความอ่อนนุ่มหรือแข็งตัวของขนแปรง ก็มีส่วนการการให้นำหนักสี คือ ขนแปรงที่อ่อนนุ่ม จะสามารถไล่น้ำหนักสีที่เบาบางและแลดูเป็นธรรมชาติ ในทางตรงกันข้าม ขนแปรงที่มีลักษณะหยาบและแข็งจะช่วยให้เราสามารถไล่น้ำหนักสีที่หนาแน่นและ ชัดเจน

แปรงที่ใช้สำหรับการไฮไลท์ นั้นควรใช้แปรงปัดแป้งที่มีขนาดเล็กสำหรับปัดเฉพาะพื้นที่ หรือหากไม่มีใช้แปรงปัดแก้มที่มีขนนุ่มมากๆ แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณใต้ดวงตา ควรใช้แปรงที่ขนนุ่มากๆ เพื่อป้องกันอาการแป้งตกร่องผิวตามร่องริ้วรอยบนผิวหนังค่ะ

ส่วนแปรงที่สำหรับการเฉดดิ้งและ คอนทัวร์นั้น ควรเป็นแปรงที่มีลักษณะแบนๆ เพื่อง่ายต่อการไล่น้ำหนักของสี แต่ถ้าไม่มีแปรงสำหรับใช้งานโดยเฉพาะ ก็สามารถใช้แปรงปัดแป้งหรือแปรงปัดแก้มแทนก็ได้ โดยใช้ด้านข้างของแปรงแทนค่ะ

การสาธิตในครั้งนี้ จะใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทแป้ง และจะแบ่งการสาธิตตามวัตถุประสงค์ 2 อย่างของการให้แสงและเงา นั่นก็คือ การอำพรางส่วนบกพร่อง และการส่งเสริมจุดเด่น ซึ่งจะแยกสาธิตให้เห็นชัดเจน

  

1) การแก้ไขโครงหน้า ซ่อนเร้นและอำพรางส่วนบกพร่องของโครงหน้า ด้วย ไฮไลท์และเฉดดิ้ง โดยเราจะใช้เทคนิคไฮไลท์สำหรับ บริเวณที่ต้องการให้ดูนูนสูงขึ้น และกว้างขึ้น ในบริเวณที่มีปัญหา รอยยุบ เป็นร่อง แคบ หรือตอบ หรือถ้าสังเกตง่ายๆ เวลาที่เราส่งกระจกแล้วเห็นเงาตกกระทบลงบริเวณไหน ก็ใช้ไฮไลท์เข้าไปตบลงบริเวณนั้นได้เลย เช่น ใต้โหนกคิ้ว ใต้ดวงตา ร่องแก้ม  ใต้ริมฝีปาก มุมปาก หางตาด้านล่าง และบริเวณที่ต้องการยกให้ดูสูงขึ้นกว้างขึ้น เช่น  หน้าผาก สันจมูก และคาง

ในทางตรงกันข้ามเทคนิคเฉดดิ้งใช้ สำหรับบริเวณที่มีปัญหาที่ต้องการแรเงาให้ดูเล็กและแคบลง เช่น ปีกจมูกและข้างสันจมูก ทำให้ดูแคบและลึกลง ไรผมบริเวณหน้าผาก ทำให้หน้าผากดูแคบลง บริเวณกรามและกรอบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเล็กลง เป็นต้น

ส่วนเทคนิคการสะบัดแปรงนั้นก็ เช่นเดียวกับการปัดแป้ง แต่ควรควบคุมบริเวณให้อยู่เฉพาะพื้นที่ที่เราต้องการเท่านั้น และเกลี่ยรอยต่อของสีให้มีการไล่สีแบบธรรมชาติ ไม่เห็นขอบที่ชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ชัด

2) การส่งเสริมจุดเด่นและเน้นโครงหน้าให้เห็นชัดเจนขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและมีเสน่ห์มากขึ้น ด้วยไฮไลท์และคอนทัวร์โดยการไฮไลท์ด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทชิมเมอร์นั้น จะช่วย ทำให้ใบหน้าเราดูโดดเด่นและเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้า ซึ่งบริเวณที่เราจะทำไฮไลท์เพื่อเพิ่มเน้นแสงที่ตกกระทบกับจุดเด่นบนโครง หน้า ได้แก่ บริเวณหัวตา กลางเปลือกตา โหนกคิ้ว ใต้ตา มุมรอยยักของริมฝีปาก รวมถึงบริเวณ หน้าผาก สันจมูกและคาง และไฮไลท์ด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทบรอนเซอร์นั้น จะช่วยให้ใบหน้าของเราดูสีชีวิตชีวาขึ้น บริเวณที่มักจะใช้เทคนิคนี้ ก็คือ บริเวณโหนกแก้ม หน้าผากและสันจมูก ส่วนเทคนิคการสะบัดแปรงนั้นควรใช้ให้น้ำหนักที่บางเบาเน้นเพียงแค่เทคเจอร์ แต่ไม่เน้นสีมากนัก เพราะจะได้ไม่ดูจงใจมากจนเกินไปนั่นเอง

ส่วนการคอนทัวร์คัดโครงหน้าใน ส่วนต่างๆ เพื่อให้เห็นเค้าโครงของส่วนต่างๆ บนใบหน้าได้ชัดเจนขึ้น ทำใหใ้บหน้าของเราดูคมชัดและน่าสนใจ ซึ่งได้แก่ บริเวณกรอบหน้าใต้ขากรรไกร ใต้โหนกแก้ม ขมับ โครงเบ้าตา และบริเวณขอบตาซึ่งเทคนิคการคอนทัวร์นี้ ต้องการศัยการฝึกฝนให้ชำนาญ ในการไล่น้ำหนักของเงาให้ดูเป็นธรรมชาติและสวยงาม เทคนิคการคอนทัวร์ จะใช้การสะบัดแปรงในทิศทางจากส่วนกลางของบริเวณที่เราทำคอนทัวร์ แล้วไล่น้ำหนักให้จางลงบริเวณขอบรอบนอก โดยใช้เทคนิคการงัดแปรงจากส่วนล่าง

บริเวณที่ 1: กรอบหน้าใต้ขากรรไกร (Under Jaw line) ไล่ตั้งแต่ใต้ติ่งหู ไปจนถึงคาง
ทิศทางการสะบัดแปรง คือ การสะบัดแปรงจากด้านล่างใต้ขากรรไกร ปัดขึ้นไปจนถึงกรอบหน้าแล้วหยุดแปรง แล้วเปลี่ยนการสะบัดแปรงในทิศทางตรงกันข้าม คือ จากใต้ขากรรไกรลงด้านล่าง และทำซ้ำโดยเริ่มจากใต้ติ่งหูใหม่ ไปจนกว่าจะได้ระดับความเข้มของสีที่พึ่งพอใจ

บริเวณที่ 2: ใต้โหนกแก้ม (Under Cheek Bone)
ทิศทางการสะบัดแปรง คือ จากกกหูลงมาถึงโหนกแก้ม อย่าให้ต่ำว่าปีกจมูก และอย่าให้เลยกลางตาดำเทนนิคนี้สำหรับคนที่อยากให้แก้มดูตอบๆ (เหมือนพวกนางแบบเดินแค็ทวอล์ค) ก็ใช้วิธีงัดแปรงแบบเดิมโดยงัดจาก กกหูไล่ใต้โหนกแก้มเรื่อยมาจนถึงตำแหน่งกึ่งกลางตาดำ ทำซ้ำจนกว่าจะได้ระดับความเข้มที่พึ่งพอใจ

บริเวณที่ 3: ขมับ (Temple)
บริเวณนี้ง่ายค่ะ แค่แปรงขยี้ๆ ไปมา บริเวณขมับ โดยให้กลืนเข้าสู่ไรผม เป็นใช้ได้

บริเวณที่ 4: โครงเบ้าตา (Eye Socket)
ทิศทางการสะบัดแปรง คือ การสโต๊กแปรงไปมาจากปลายหางตาจนถึงหัวตา แล้วค่อยๆ ไล่ไปตามกระดูกเบ้าตา ตำแหน่งจะอยู่ใต้กระดูกเบ้าตา และรูปร่างของการคอนทัวร์เบ้าตาจะเป็นรูปครึ่งวงกลม และต้องระวังไม่ให้เห็นรอยต่อของเงากับบริเวณขอบแบบชัดเจน ส่วนที่เข้มสุดควรเป็นส่วนที่อยู่กึ่งกลางความหนาของเส้นเงา และไม่เห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของเงา เราควรคอนทัวร์ด้วยน้ำหนักสีทีละน้อย แล้วทำซ้ำเพิ่อเพิ่มน้ำหนักสีให้ดูเข้มขึ้น เทคนิคนี้จะช่วยให้ได้เงาที่ดูเป็นธรรมชาติกว่า การลงสีเข้มในคราวเดียว

บริเวณที่ 5: ขอบตา (Lashlines)
ทิศทางการ  คือ โดยลากเส้นเงาจากหางตาเข้าไปถึงหัวตา ทั้งขอบตาด้านบนและด้านล่าง 
อาจจะใช้แปรงที่มีขนสั้นๆ ผสมผลิตภัณฑ์กับน้ำ เพื่อให้ได้สีที่ชัดขึ้น ซึ่งการใช้แปรงจะทำให้ได้เงาที่ดูฟุ้งๆ หรือมีขอบเบลอๆ ไม่คมชัดจนเกินจริง หรือถ้าอยากให้สะดวก ลองใช้อายไลเนอร์์ประเภทดินสอเนื้อนิ่มๆ ก็ช่วยได้ได้เส้นที่ดูธรรมชาติได้ค่ะ

เพียงแค่การเพิ่มแสงและแรเงา อำพรางส่วนบกพร่องและ ดึงเสน่ห์จากจุดเด่นในใบหน้าให้ดูน่าสนใจในแบบที่เป็นตัวของเราเอง เพียงแค่นี้ก็ช่วยทำให้ใบหน้าของเราดูสวยงามได้ โดยไม่ต้องอาศัยการใช้สีสันอื่นๆ มาดึงความสนใจเลยซักนิดเดียว

ความสวยเป็นภารกิจของสาวๆ ทุกคน สวยงามอย่างสร้างสรรค์ แล้วอย่าลืมนำไปแบ่งกันให้กันและกัน นะคะ

หากใครมีข้อเสนอแนะหรือมีประสบการณ์ ดีๆ อยากจะแบ่งปันกันเพิ่มเติม หรือจะฝากคำถาม หรือแค่ชอบใจบทความดีๆ นี้ ก็สามารถแวะไปกด Like และเยี่ยมเยียน พูดคุยกับปุ้ยได้ที่ Facebook Fan-page LikePuYisme ค่ะ

Product List:
MAKE UP FOR EVER // Sculpting Kit [deep neutral brown/ ivory]
MAC // Mineralize Blush [The Soft Meow] edited edition
NARS // Blush and Bronzing Duo [Albatross]
Lunasol // Brow Styling Compact [GB02 Grayish Brown]
MAC // Surf Baby Powderpoint Eye Pencil [Gilded White Yellow white frost]
Mei linda // Eyelash [65]
MAC // Triple Fusion Mineralize Skinfinish
MAC // Dazzleglass [Moth to Flame]
MAC // Lipstick Matte [Honey Love]

เทคนิคการบรรยายเยี่ยมยอดครับ ชอบมากมาก